เข้าชมรายละเอียด THE INDIAN TEA

เข้าชมรายละเอียด THE INDIAN TEA
แฟรนไชส์กาแฟสดและกาแฟชงสำเร็จ ชาอินเดีย กาแฟเปอร์เซีย ราคาเริ่มต้น 6,900 - 399,000 เข้าชมรายละเอียด แฟรนไชส์ THE INDIAN TEA คลิ๊กที่รูปภาพด้านบน ติดต่อคุณมาโนช โทร.084-682-5999 , 092-369-3951 LINE ID : @THEINDIANTEA / หรือเซฟเบอร์ 084-682-5999

ค้นหาทำเลเปิดร้านกาแฟ แสดงผลการค้นหาชัดเจน ตรงประเด็น จากกลุ่มเว็บที่เรานิยมใช้เป็นประจำ

Loading

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กาแฟ การปลูกกาแฟ พันธุ์กาแฟ การแปรรูป แหล่งผลิตของโลก


กาแฟ (Coffee)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea spp.

ประวัติ และการใช้ประโยชน์

                เริ่มการใช้ประโยชน์จากคนเลี้ยงแพะชาวอาราเบียที่สังเกตุดห็นว่าเมื่อแพะกินผลและเมล็ดกาแฟแล้วมีความคึกคะนองผิดปกติ จึงได้เริ่มรับประทานบ้างพบว่าก่อให้เกิดความสดชื่น จึงได้แพร่กระจายการรับประทานเมล็ดกาแฟไปสู่ชาวยุโรป และทั่วโลกในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ถิ่นกำเนิด

กาแฟ
                เชื่อกันว่ากาแฟมีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกา แถบประเทศเอธิโอเปีย โดยเป็นพืชที่ขึ้นโดยทั่วไป เป็นพืชป่าในระยะนั้น และเมื่อมีการใช้ประโยชน์มากขึ้น ความต้องการกาแฟก็มีมากขึ้น จึงถูกนำมาพัฒนาเป็นพืชปลูกในระยะต่อมา

แหล่งผลิตของโลก และการผลิตของประเทศไทย

                กาแฟเป็นพืชเขตร้อนชื้น ฉะนั้นแหล่งผลิตจะกระจายอยู่ในแถบร้อนชื้นของทวีปอัฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชีย  โดยมีประเทศในแถบอเมริกาใต้ คือบราซิล โคลัมเบีย เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก และมีประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญรองลงมาตามลำดับ
                การปลูกกาแฟในประเทศไทยเริ่มในช่วงยุคการล่าอาณานิคมของชาวยุโรป โดยมีรายงานการปลูกในภาคเหนือที่จังหวัดลำปาง ภาคตะวันออกที่จังหวัดจันทบุรี และภาคใต้ในแถบจังหวัดสงขลา แต่มีได้เป็นล่ำเป็นสัน จนต่อมาระยะหลังมีการพัฒนาการปลุกมากขึ้น และแหล่งปลูกที่สำคัญคือภาคใต้ ได้แก่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช แต่พันธุ์ที่ใช้ปลูกคือพันธุ์โรบัสตา  และแหล่งปลุกที่เริ่มมีการพัฒนาใหม่คือทางภาคเหนือ ในแถบ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งแหล่งปลูกกาแฟทางภาคเหนือจะเป็นกาแฟพันธุ์อาราบิกา

พันธุ์กาแฟ

                ปัจจุบันทั่วโลกจะมีพันธุ์กาแฟมากกว่า 50 พันธุ์ ซึ่งมีรายละเอียดมากมายตามการพัฒนาพันธุ์มาโดยลำดับ แต่โดยทั่วไปจะอาศัยพื้นฐานจาก 3 สายพันธุ์หลักคือ
1.               พันธุ์อาราบิกา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coffea arabica เป็นกาแฟที่มีผลผลิตประมาณ 90 % ของปริมาณกาแฟของโลก ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบประเทศเอธิโอเปีย เจริญเติบโตได้ดีในแถบที่มีอากาศค่อนข้างหนาว จัดเป็นพืชกึ่งเมืองหนาว และต้องการฤดูแล้งทีค่อนข้างยาวนานประมาณ 2-3 เดือน คุณภาพเล็ดกาแฟอาราบิกามีคุณภาพทั้งกลิ่นและรสชาติดีที่สุด
ลักษณะประจำพันธุ์ที่สำคัญคือมีทรงพุ่มเป็นรูปปิระมิด ลำต้นสูงประมาณ 6-16 ฟุต กิ่งมักจะแตกเป็นมุมกว้างกับลำต้น ทำให้ดูเกือบขนานกับพื้นดิน ใบจะเล็ก ไม่ต้านทานต่อโรคราสนิม จึงปลูกไม่ค่อยได้ในแถบที่มีความชื้น หรือฝนตกชุก
2.               พันธุ์โรบัสตา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coffea canephora หรือ Coffea robusta เป็นกาแฟที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมปลูกได้ดีมาก โดยเฉพาะจะเจริญเติบโตได้ดีในแถบที่มีฝนตกสม่ำเสมอ  ปลูกได้ทั้งที่มีระดับน้ำใต้ดินเสมอระดับน้ำทะเล จนถึง4,300ฟุต ผลจะเล็กกว่าพันธุ์อาราบิกา และมีนิสัยชอบร่มเงา เป็นพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคราสนิม ผลผลิตดีกว่าพันธุ์อาราบิกาเมื่อเปรียบเทียบต้นต่อต้น แต่มีข้อเสียที่คุณภาพเมล็ดทั้งกลิ่น และรสชาติด้อยกว่าพันธุ์อาราบิกา
3.               พันธุ์ลิเบอริกา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coffea liberica เป็นกาแฟที่ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในแง่ของการผลิตเพื่อการค้า เพราะเป็นกาแฟที่มีคุณภาพต่ำ คือทั้งกลิ่นและรสชาติด้อยกว่า 2 พันธุ์ข้างต้น แต่ข้อดีคือปลูกได้ดีในแถบที่มีฝนตกชุก และสม่ำเสมอ อีกทั้งมีลักษระที่สำคัญคือสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมปลูกได้เป็นอย่างดี จึงมีความสำคัญในแง่ของการปรับปรุงพันธุ์มากกว่าการผลิตเพื่อการค้า

สภาพแวดล้อมสำหรับการปลูกกาแฟ

                ดิน
                ดินสำหรับปลูกกาแฟที่สำคัญคือมีการถ่ายเทอากาศและระบายน้ำได้ดี ไม่ควรเป็นพื้นที่มีการท่วมขังของน้ำ ดินที่ปลูกถ้ามีความอุดมสมบูรณ์  ดินเหนียวที่มีธาตุโปตัสเซียม เป็นดีที่สุด ความเป็นกรดเป็นด่างของดินควรอยู่ระหว่าง 4.5-6.5
                ภูมิอากาศ
                อุณหภูมิ เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของกาแฟ  กาแฟแต่ละพันธุ์จะมีความต้องการอุณหภูมิที่แตกต่างกันไป คือ กาแฟอาราบิกา สามารถเจริญเติบโตได้ดีระหว่างอุณหภูมิ 15-26 องศาเซลเซียส และกาแฟโรบัสตาจะเจริญเติบโตได้ดีระหว่างอุณหภูมิ 25-32 องศาเซลเซียส
                ปริมาณฝนและความชื้น
                ความชื้นอากาศที่ต้องการสำหรับการเจรฺยเติบโตที่สมบูรณ์ของแต่ละพุ์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ กาแฟอาราบิกาต้องการความชื้นอยู่ประมาณ 80 % ส่วนโรบัสต้า ต้องการประมาณ 90%  แต่อย่างไรก็ตาม ความชื้นที่ต่ำกว่าปกติที่กล่าวมาที่เนียกว่าช่วงแล้งจำเป็นสำหรับกระตุ้นการเกิดตาดอก และหลังจากนั้น ความชื้นที่สูงจำเป็นสำหรับการแตกดอกออกผลต่อไป
                ปริมาณน้ำฝนเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความชื้น เพราะส่วนมากแล้วสวนกาแฟจะอาศัยน้ำฝนเป็นหลักมากกว่าระบบชลประธาน หรือการให้น้ำ ในพื้นที่ปลูกกาแฟจะต้องมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1,500-2,300 มิลลิเมตรต่อปี  การรักษาความชื้นในดินในพื้นที่แห้งแล้งโดยการใช้วัสดุคลุมดินเป็นสิ่งจำเป็นในบางครั้ง โดยเฉพาะในระยะการออกดอกติดผล และการพัฒนาของผล
                ปริมาณแสง
                กาแฟแต่ละชนิดจะทนทานต่อสภาพแสงแดดที่แตกต่างกันไป ร่มเงาในพื้นที่แสงแดดจัดจึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะกับต้นกาแฟที่ยังเล็กอยู่ แต่ต่อเมื่อต้นกาแฟโตขึ้นและให้ผลผลิตยิ่งได้รับแสงมากจะให้ผลผลิตสูง แต่ปัจจัยด้านปํย และน้ำต้องพร้อมด้วย เป็นองค์ประกอบที่ต้องไปด้วนกัน

                การขยายพันธุ์

                การขยายพันธุ์กาแฟเพื่อการการปลูกทางเศรษฐกิจที่กระทำกันปัจจุบันคือการเพาะเมล็ด โดยมีวิธีการพอสังเขปคือ การนำผลกาแฟที่สุกเต็มที่ มาแกะเอาเล็ดออก นำเฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์เท่านั้นนำไปเพาะ
                การเพาะเมล็ดทำโดยการนำเมล็ดที่ล้างสะอาดมาเรียงในกระบะเพาะที่มีวัสดุปลูกที่สมบูรณ์(วัสดุดินเพาะ) ปิดเมล็ดให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ จนประมาณ 50-60 วันเมล็ดกาแฟก็เมงอกขนาด 1-2 คู่ใบ ก็ถอนนำไปเพาะต่อในถุงปลาสติกบรรจุดิน หรือในแปลงเพาะที่เตรียมดินไว้ โดยปลูก ระยะประมาณ 30 X100 เซ็นติเมตร รดน้ำให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ จนอายุประมาณ 1-11/2ปี (มีใบอย่างน้อย 7 คู่ใบ) ก็สามารถนำไปปลูกในแปลงได้
               

การปลูก

                การปลูกกาแฟจะประกอบไปด้วยขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ปลูก การขุดหลุมปลูก และการปลูกซึ่งโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม และความต้องการของผู้ปลูกเอง แต่สามารถสรุปเป็นหลักการโดยทั่วไปคือ
                การเตรียมพื้นที่จะประกอบไปด้วยขั้นตอนการโค่นล้มพืชพรรณเก่าในพื้นที่ อาจจะโค่นล้มแบบเหลือตอ หรือโค่นล้มแบบถอนราก การโค่นล้มอาจจะเว้นต้นไม้เก่าไว้บ้างเพื่อเป็นไม้ร่มเงา ซึ่งต้องพิจารณาถึงความจำเป็นของไม้ร่มเงาด้วย หลังจากโค่นล้มต้องมีการกำจัดพืชพรรณเก่าในแปลงดดยการกองแล้วเผาให้สะอาด การปรับภาพพื้นที่ ซึ่งพื้นที่ที่มีความลาดชันเกิน 10 % จำเป็นที่จะต้องทำขั้นบันไดเพื่อป้องกันการชะล้างของพื้นที่ในช่วงฝนตกหนัก
                การกำหนดระยะปลูก ประชากรที่เหมาะสมของกาแฟที่จะให้ผลผลิตที่ดี จะอยู่ประมาณ150-200ต้น/ไร่ แต่สามารถที่จะเพิ่ม หรือลดจำนวนกว่าปกติได้ ขึ้นกับวิธีการปลูกที่ต้องการกล่าวคือถ้าเพิ่มจำนวนมากกว่านี้ การตัดแต่งต้นจำเป็นจะต้องออกแบบให้เหมาะสมเพื่อให้ต้นกาแฟรับแสงเต็มที่ในการติดดอกออกผล บางครั้งจะต้องตัดทั้งต้นสลับแถวเพื่อให้เกิดช่องว่างในพื้นที่ แล้วเลี้ยงต้นใหม่จนอายุ ประมาณ 3 ปี ก็จะออกดอกติดผลอีก แต่ก็ต้องตัดต้นในแถวไกล้เคียงออกเพื่อเปิดพื้นที่เช่นกัน โดยมีหลักการว่า ต้นกาแฟจะติดดอกออกผล เมื่อต้นมีอายุ ประมาณ 3 ปี   และต้นกาแฟที่อายุมากขึ้นจะให้ผลผลิตลดลงและการจัดการจะยุ่งยากมากขึ้น การจัดการวีธีการปลูกจะต้องวางแผนให้แน่นอน
                ระยะปลูกที่มาตรฐานคือ 3x3 เมตร จะได้ปริมาณต้น 177 ต้น/ไร่ การปลุกที่วางแผนจะตัดเป็นแถวที่เรียกว่าการปลูกแบบฮาวาย จำเป็นที่จะต้องระยะชิดกว่านี้ การเตรียมหลุมปลูกถ้ามีการไถพรวนอย่างดีไม่จำเป็นที่จะต้องขุดหลุมกว้างนั แต่ที่ไม่ไถพรวนจำเป็นที่จะต้องขุดหลุม ขนาดกว้าง 50x50x50 เซนติเมตร ทำการกลบหลุม และในการเริ่มปลูกควรใส่ปุ๋ย rock phosphate (ปุ๋ยรองหลุม) ประมาณ 200 กรัม/หลุม
                การปลูกส่วนมากแล้วจะเป็นต้นกล้าที่ชำในถุงปลาสติก ดังนั้นก่อนที่จะนำลงปลูกในหลุมจำเป็นที่จะต้องนำถุงปลาสติกออกเสียก่อน แล้ววางในหลุมที่ขุดขนาดพอใส่ถุงลงได้ ระวังอย่าให้รากแก้งคดงอ แล้วนำดินมาใส่ให้เต็มกดรอบโคนต้นให้แน่น ในกรณีที่ปลูกจากต้นกล้าที่ชำในแปลง และมีการถอนราก ควรเลือกช่วงปลูกที่ฝนตกสม่ำเสมอ ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำจนกว่าต้นกล้าจะตั้งตัวได้
                ไม้ร่มเงา เป็นวิธีการที่นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาแก่ต้นกาแฟในระยะแรก  และวัตถุประสงค์ด้านการป้องกันการพังทะลายของดิน  โดยไม้บังร่มกาแฟแบ่งออกได้เป็น 2ประเภท คือ ไม้บังร่มเงาชั่วคราว และไม้บังร่มเงาถาวร โดยไม้ร่มเงาชั่วคราวได้แก่ พืชล้มลุก เช่น ข้าวโพด ปอเทือง กล้วย เป็นต้น ส่วนไม้ร่มเงาถาวร คือไม้ยืนต้น เช่น สะตอ ทองหลาง มะพร้าว แค ขี้เหล็กเป็นต้น  แต่การปลูกไม้ร่มเงาควรมีการจัดการตัดแต่งไม้ร่มเงาเพื่อให้ต้นกาแฟรับแสงที่เหมาะสมเพื่อการติดดอกออกผลที่เต็มที่ด้วน เพราะบางครั้งถ้าการจัดการไม่ดี ไม้ร่มเงาจะเป็นตัวต้นเหตุของการทำให้ผลผลิตกาแฟลดลงได้ คือจะบังต้นกาแฟมากเกินไป และอาจจะแย่งน้ำและอาหารจากต้นกาแฟได้

การดูแลรักษา

                การปราบวัชพืชและใส่ปุ๋ย
                                ควรมีการปราบวัชพืชทุกครั้งก่อนการใส่ปุ๋ยซึ่งอาจะใช้ยาปราบวัชพืช หรือการถาก การถางตามความเหมาะสม และปุ๋ยเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของการปลูกกาแฟ ต้องพิจารณาทั้งธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารรองว่าต้องเพียงพอ ซึ่งจะสังเกตลักษณะของใบได้ ซึ่งมีรายละเอียดมากมายเกินที่จะกล่าวในที่นี้ แต่สูตรปุ๋ยที่ใช้โดยทั่วไป มักจะเป็นสูตรเสมอ คือ 15-15-15  หรือ 16-16-16 เป็นต้น โดยการใส่ปุ๋ยจะโรยบนดินเป็นวงกลมรอบรอบทรงพุ่ม โดยปีที่1-3 กาแฟยังไม่ให้ผลผลิตควรใส่ประมาณ 2-3 ครั้ง/ปี ครั้งละประมาณ100-300 กรัม/ต้น และควรมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อปรับสภาพทางกายภาพของดินควบคู่กันไปด้วย

                การตัดแต่งต้นกาแฟ

                                ข้อกิ่งกาแฟที่ออกดอกให้ผลผลิตแล้ว จะไม่สามารถออกดอกอีก โดนจะออกดอกที่ข้อกิ่งใหม่ ฉะนั้นการตัดแต่งกาแฟเป็นหัวใจของการผลิตกาแฟที่จะให้ได้ผลผลิตสูงสม่ำเสมอและมีคุณภาพที่ดี จะเห็นได้ว่าการตัดแต่งกาแฟ เช่นการตัดทั้งต้นทิ้งเป็นวิธีการปลูกของการปลูกแบบฮาวาย เป็นต้น โดยทั่วไปการตัดแต่งกาแฟจะแบ่งเป็น 2 กิจกรรม คือ การตัดแต่งโครงสร้าง (Structural pruning) และการตัดแต่งเพื่อทำความสะอาด (Sanitary pruning)
                                การตัดแต่งโครงสร้างคือการตัดทั้งต้นเพื่อเลี้ยงต้นใหม่ หรือการตัดแต่งกิ่งทิ้งเพื่อควบคุมทรงพุ่มและการแตกกิ่งใหม่ ส่วนการตัดแต่งเพื่อทำความสะอาดคือการตัดกิ่งที่แห้ง เป็นโรค หรือบิดเบี้ยวทิ้ง โดยการตัดแต่งการแฟทั้ง 2 วิธีการมักจะกระทำหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต

การเก็บเกี่ยวผลผลิต การแปรรูป

                กาแฟจะออกดอกหลังจากผ่านการกระทบความแห้งแล้งและผ่านความชุ่มชื้นจากฝนหรือการให้น้ำ จะพัฒนากลายเป็นผลจนสุกซึ่งมีลักษณะสีแดงในเวลาต่อมา การเก็บเกี่ยวผลผลิตจะต้องเก็บเฉพาะผลผลิตที่สุกเท่านั้น ซึ่งจะยุ่งยากพอสมควร เพราะกาแฟบางพันธุ์จะมีผลที่สุกไม่พร้อมกันในช่อเดียวกันจึงต้องระวัง เพราะผลกาแฟที่แก่ ไม่สุก เมื่อนำไปแปรรูปจะทำให้กาแฟที่ได้มีคุณภาพที่ไม่ดี  การเก็บเกี่ยวเพื่อความสะดวก เกษตรกรมักชัวัสดที่เป็นแผ่นเช่นตาขายตาถี่ปูใต้โคนต้นแล้วปลิดเฉพาะผลที่สุกร่วงหล่นลงมาบนตาข่ายแล้วค่อยรวบรวมเป็นต้นๆไป
                การแปรรูปขั้นต้นของผลกาแฟคือการปอกเปลือก เอาส่วนที่เป็นเมล็ดกาแฟเท่านั้น การปอกเปลือกจะมี 2 วิธีคือ การปอกแห้ง(Dry method) และการปอกเปียก(Wet method)
                การปอกแบบแห้ง เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการผลิตจำนวนมาก ดดยการนำผลกาแฟสุกมาตากแดดประมาณ15-20 วัน จนแห้งสนิทดี แล้วทำการนำไปเข้าเครื่องสีกระเทาะเปลือก ก็จะได้เมล็ดกาแฟที่แห้งสามารถส่งโรงงานได้เลย  ส่วนการปอกเปลือกแบบเปียกเป็นวิธีการที่ต้องการความรวดเร็ว ซึ่งวิธีการคือการนำผลสดมาแช่น้ำร้อนเพื่อแยกเอาเปลือกออกจากเมล็ด นอกจากนี้ยังมีอีกหลานวิธีเช่นการหมัก เพื่อให้เปลือกนิ่มแยกออกจากเมล็ดได้ง่าย หลังจากได้เม็ลดกาแฟจะมีเมือกอยู่อาจต้องใช้สารละลายที่เป็นด่างหรือเครืองกำจัดเมือกโดยการเสียดสีที่เรียกว่า Raoerg หรือ Agua pulpa แล้วนำเมล็ดที่ได้ไปตากแดดจนแห้งสนิทก็สามารถส่งขายได้เลย
                ส่วนมากในพื้นที่ปลูกกาแฟมากๆ จะมีผู้รับซื้อผลสดเพื่อกระเทาะเมล็ด หรือชาวบ้านเรียกว่าลานตากกาแฟ หรือโรงสีกาแฟ รับขั้นตอนการแปรรูปโดยการปอกเปลือกและตากให้แห้งพื่อส่งขายอีกชั้นหนึ่ง

โรคและแมลงศัตรูกาแฟ

                โรคและศัตรูกาแฟมีมากมายแต่ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะที่สำคัญๆพอสังเขปคือ
                โรคราสนิม(Rust) เป็นโรคที่สำคัญของกาแฟ เกิดจากเชื้อรา Helleia vastatrix จะระบาดมากในสวนกาแฟที่มีความชื้น โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะออ่นแอต่อโรคนี้มากว่าพันธุ์อื่นๆ ฉะนั้นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดการเลือกพันธุ์ที่ต้านทานเมื่อรู้ว่าพื้นที่จะปลูกมีการระบาดของโรคราสนิม การตัดแต่งทรงพุ่มกาแฟให้โปร่ง และสะอาดจะเป็นการป้องกันที่ดีทางหนึ่ง  ถ้าโรคระบาดการกำจัดจะต้องใช้ยาป้องกันกำจัดเชื้อราโดยทั่วไป
                หนอนเจาะลำต้นกาแฟ เป็นศตรูที่ทำความเสียหายกับกาแฟโดยทั่วไป หนอนตัวนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zeuzers spp. โดยการทำลายจะเจาะลำต้น หรือกิ่งกาแฟ ทำให้แห้ง หรือหักโค่นได้ เป็นหนอนที่เกิดจากผีเสื้อกลางคืน การทำลายจะเจาะเปลือกผ่ายเนื้อไม้จนเป็นรู ถ้าระบาดมากจะทำลายต้นกาแฟโดยกิ่งจะหักโค่นได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหมั่นสังเกตุกำจัดโดยการห่าตัวหนอน และการทำสวนให้สะอาด แต่ถ้าระบาดมากอาจจะต้องใช้สารเคมี คือ ดิลดริน พ่นเพื่อเป็นการป้องกันกำจัด
                แมลงศัตรูที่สำคัญมีอีกมากมายเช่นมอดเจาะผลกาแฟ เพลี้ยหอยสีเขียว และกระรอกกระแต เป็นต้น วิธีการป้องกัน เป็นวิธีการที่ดีที่สุด มากกว่าการใช้สารเคมีเพราะเป็นการยุ่งยากเพราะเป็นไม้ยืนต้น การลงทุนสูง และอาจจะมีปัญหาต่อสภาพแวดล้อมได้

Cafe Britt - Premium Gourmet Coffee